วันศุกร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2556

ไทยพาณิชย์ชี้สัญญาณดีส่งออกเริ่มฟื้น


ธนาคารไทยพาณิชย์ มองแนวโน้มการส่งออกเริ่มฟื้นตัว ตลาดหลักขยายตัวดี ชี้ถ้าไม่รวมทองคำไทยจะเกินดุล 170 ล้านเหรียญฯ


          ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ ออกบทวิเคราะห์เกี่ยวกับแนวโน้มการส่งออกของไทย โดยวันนี้ (26 ก.ย.) กระทรวงพาณิชย์รายงานมูลค่าการส่งออกของไทยเดือนสิงหาคมอยู่ที่ 2.05 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 3.9%YOY (เทียบกับเดือนเดียวกันในปีก่อนหน้า) ขณะที่มูลค่าการนำเข้าอยู่ที่ 2.06 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง 2.1%YOY ดุลการค้าขาดดุล 94.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

          ทั้งน้ ไทยมีมูลค่าการส่งออกสูงกว่า 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน และเป็นการกลับมาขยายตัวอีกครั้งหลังจากหดตัว 3 เดือนติดต่อกัน โดยปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการส่งออกไปยังตลาดหลักส่วนใหญ่ที่ขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกไปจีนที่กลับมาขยายตัวอีกครั้งที่ 3.1%YOY หลังจากที่หดตัวติดต่อกัน 4 เดือน นอกจากนี้ การส่งออกไปยังสหภาพยุโรปขยายตัวสูงถึง 14.1%YOY ประกอบกับการส่งออกไปอาเซียนก็ขยายตัวสูงที่ระดับ 17.3%YOY ซึ่งสะท้อนถึงเศรษฐกิจจีนและยุโรปที่ปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ดีการส่งออกไปญี่ปุ่นยังคงหดตัว 6.0%YOY เนื่องจากมูลค่าการส่งออกในรูปเหรียญสหรัฐฯ ของรถยนต์และส่วนประกอบ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ ที่เป็นสินค้าส่งออกหลักไปยังญี่ปุ่นยังหดตัวสูงที่ราว 24.3%YOY และ 13.1%YOY ตามลำดับ

          การส่งออกรถยนต์ขยายตัวสูง และการส่งออกยางพาราเริ่มปรับตัวดีขึ้น มูลค่าการส่งออกรถยนต์ในเดือนสิงหาคม ขยายตัว 15.9%YOY จากที่หดตัว 10.2%YOY ในเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ได้ปรับสายการผลิตให้เป็นการผลิตเพื่อส่งออกมากขึ้นเพื่อทดแทนตลาดรถยนต์ในประเทศที่ชะลอตัวลง โดยการส่งออกไปยังฟิลิปปินส์และซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่อันดับ 3 และ 4 ของไทย ขยายตัวสูงถึง 67%YOY และ 52.3%YOY ตามลำดับ นอกจากนี้การส่งออกยางพาราหดตัว 7.8%YOY น้อยลงจากเดือนที่แล้วที่หดตัว 20.5%YOY ซึ่งเป็นผลมาจากราคายางพาราที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้นและปริมาณการส่งออกที่เพิ่มสูงขึ้นจากปีที่แล้วราว 12.7%YOY ตามการส่งออกไปจีนและญี่ปุ่นที่ปรับตัวดีขึ้น

          ขณะที่ การนำเข้าหดตัวเล็กน้อย การนำเข้าสินค้าทุนประเภทเครื่องจักรยังหดตัวต่อเนื่องจากเดือนที่แล้วที่ 7.3%YOY ประกอบกับการนำเข้าสินค้าในหมวดยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่งหดตัวถึง 20.1%YOY เนื่องจากสินค้าทั้ง 2 หมวดนี้มีการนำเข้าค่อนข้างสูงในปีที่ผ่านมาตามการเร่งลงทุนภาคเอกชนและนโยบายรถคันแรก

          สำหรับดุลการค้าขาดดุล 94.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่ถ้าหากไม่รวมการส่งออกและนำเข้าทองคำ ดุลการค้าในเดือนสิงหาคมจะเกินดุล 170 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

          ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (EIC) มองว่า การส่งออกของไทยในช่วงที่เหลือของปีจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยได้รับแรงสนับสนุนจากเศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะตลาดส่งออกหลักที่สำคัญของไทย ทั้งสหรัฐฯ ยุโรป และจีน นอกจากนี้ แนวโน้มการส่งออกรถยนต์ที่เพิ่มสูงขึ้นเพื่อทดแทนตลาดในประเทศจะเป็นแรงส่งที่สำคัญต่อการส่งออกของไทยในระยะต่อไป

วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556

ไทยพาณิชย์จับมือแฟมิลี่มาร์ทบริการชำระบิล

ไทยพาณิชย์จับมือแฟมิลี่มาร์ทขยายช่องทางบริการชำระบิลที่ร้านแฟมิลี่มาร์ทผ่านระบบไทยพาณิชย์


ธนาคารไทยพาณิชย์จับมือพันธมิตรร้านสะดวกซื้อ แฟมิลี่มาร์ทเปิดบริการชำระบิลที่ร้านแฟมิลี่มาร์ทผ่านทางระบบธนาคารไทยพาณิชย์เป็นครั้งแรก เพื่อขยายช่องทาง และรองรับความต้องการในการชำระบิลของลูกค้าผ่านทางร้านแฟมิลี่มาร์ทกว่า 900 สาขาทั่วประเทศ พร้อมสานต่อแนวคิดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Focus) หวังแบ่งตลาดชำระบิล 10%


          นายไตรรงค์ บุตรากาศ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สาย GTS ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “พฤติกรรมการชำระบิลของลูกค้าเปลี่ยนไปจากเดิมที่ในอดีตต้องชำระเงินผ่านทางธนาคารเท่านั้น ต่างกับปัจจุบันที่มียอดการชำระค่าสินค้าและบริการของผู้บริโภคผ่านทางบริการชำระบิลในตลาดค้าปลีกมีสัดส่วนกว่า 60% ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ธนาคารจึงเล็งเห็นโอกาสในการเติบโตของธุรกิจการชำระบิลในตลาดค้าปลีก จึงได้ร่วมมือกับ แฟมิลี่มาร์ท พัฒนาระบบการชำระค่าสินค้า และบริการที่หลากหลาย ครอบคลุมสินค้าและบริการกว่า 100ประเภท พร้อมขยายช่องทางอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่ต้องการชำระบิลของสินค้า และบริการที่ร่วมโครงการได้ที่สาขาแฟมิลี่มาร์ท กว่า 900สาขา ทั่วประเทศ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มประสิทธิผลในด้าน การเก็บเงินจากลูกค้าให้มีความสะดวกมากขึ้น เนื่องจากลูกค้าสามารถชำระเงินได้หลายแห่ง”

          นายณัฐ วงศ์พานิช ประธานบริหาร บริษัท เซ็นทรัลแฟมิลี่มาร์ท จำกัด กล่าวว่า “ทางแฟมิลี่มาร์ท ได้รับการติดต่อจากทางธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่อมาจัดทำโครงการร่วมกัน ซึ่งทางแฟมิลี่มาร์ทเห็นว่าเป็นโครงการที่ดีมาก ตอบโจทย์ให้แก่ทุกฝ่ายทั้งแฟมิลี่มาร์ท ธนาคาร และที่สำคัญที่สุดคือลูกค้า จากนั้นได้มีการพัฒนาระบบเรื่อยมา จนกระทั่งได้มีการเปิดบริการอย่างเป็นทางการในวันนี้ ซึ่งลูกค้าสามารถใช้บริการดังกล่าวได้แล้วตั้งแต่วันนี้ ณ ร้านแฟมิลี่มาร์ททุกสาขา ที่มีป้ายโลโก้ จ่ายบิล ผ่านไทยพาณิชย์ด้านหน้าร้าน โดยขณะนี้ได้เปิดให้บริการรับชำระบิล ได้กว่า 900 สาขา ทั่วประเทศ และสามารถจ่ายบิลได้ทุกวัน แฟมิลี่มาร์ท และธนาคารไทยพาณิชย์มีความพร้อมที่จะให้บริการรับชำระบิลที่ร้านแฟมิลี่มาร์ทผ่านระบบของไทยพาณิชย์ ซึ่งลูกค้าผู้ใช้บริการจะเชื่อมั่นได้ว่าปลอดภัย และเชื่อถือได้แน่นอน แฟมิลี่มาร์ทคาดว่าภายในสิ้นปีนี้ จะมีขยายสาขาร้านแฟมิลี่มาร์ทได้ถึง 1,000 สาขา และในปี 2560 จะเพิ่มขึ้นเป็น 3,000 สาขา ทั่วประเทศ”

          ลูกค้าสามารถนำใบแจ้งหนี้ไปชำระเงินได้ที่ร้านแฟมิลี่มาร์ท ที่มีป้ายโลโก้ จ่ายบิล ผ่านไทยพาณิชย์ ซึ่งบริการของบริษัท หรือ billers ที่เข้าร่วมโครงการ อาทิเช่น การประปา , การไฟฟ้า, กลุ่ม True, AIS, บัตรเครดิตไทยพาณิชย์, อิออน ธนสินทรัพย์, ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต, โตโยต้าลิสซิ่ง, เมืองไทยประกันชีวิต,กรุงเทพประกันชีวิต และอีกหลายราย เมื่อทำรายการเสร็จ ลูกค้าก็จะได้รับหลักฐานการชำระเงินจากพนักงานร้านแฟมิลี่มาร์ท โดยสามารถเก็บเป็นหลักฐานไว้สำหรับตรวจสอบรายการในภายหลังได้

          นายไตรรงค์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ธนาคารหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการร่วมมือกับแฟมิลี่มาร์ทเปิดตัวบริการชำระบิลที่สาขาแฟมิลี่มาร์ทผ่านทางระบบธนาคารไทยพาณิชย์เป็นครั้งแรกนี้จะเป็นอีกก้าวย่างหนึ่ง ในการเพิ่มช่องทางการให้บริการของธนาคารในการชำระค่าสินค้าและบริการ และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้บริการในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ธนาคารคาดว่าภายใน 3 ปีนี้ จะได้รับส่วนแบ่งทางการตลาด 10% ของตลาดบริการชำระบิลในร้านค้าปลีก จากความร่วมมือในครั้งนี้”








บิ๊กแบงก์ไทยพาณิชย์ ชี้เศรษฐกิจไทย-ค่าเงินยังผันผวน หลังเฟดคง QE เตือนผู้ประกอบซื้อความเสี่ยง พร้อมคุมเข้มปล่อยกู้ต่อเนื่อง แต่ยังมั่นใจปล่อยกู้ได้ตามเป้า

          นางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB)กล่าวว่า สภาวะเศรษฐกิจของไทยที่มีความผันผวนอยู่ในปัจจุบันนี้ เป็นผลมาจากเงินทุนจากต่างประเทศที่เคลื่อนย้ายออกจากประเทศไทย รวมถึงประเทศอื่นในภูมิภาคนี้ด้วย หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประกาศคงมาตรการ QE ไว้ก่อน และยังไม่มีข้อสรุปว่าจะลดวงเงิน QE ในช่วงไหน ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวส่้งผลต่อค่าเงินบาทให้มีความผันผวนตามไปด้วย

         
          ดังนั้น ผู้ที่ดำเนินธุรกิจการค้าระหว่างประเทศก็จะต้องระมัดระวังในเรื่องดังกล่าว และควรป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนด้วย ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจส่งออก หรือนำเข้า ซึ่งที่ผ่านมา มักจะมีแต่ผู้ประกอบการรายใหญ่ที่นิยมป้องกันความเสี่ยง แต่ปัจจุบัน ก็มีธุรกิจขนาดกลาง-เล็ก เริ่มเห็นความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจที่มีอัตราแลกเปลี่ยนเป็นปัจจัยสำคัญ

          “เรื่องการซื้อประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน แต่ก่อนนี้จะแต่บริษัทใหญ่ๆ ทำ แต่เดี๋ยวนี้ผู้ประกอบการหลายรายเริ่มมีความรู้ความเข้าใจ และเข้ามาทำมากขึ้น ซึ่งเรื่องเป็นที่ดี และธนาคารก็แนะนำมาตลอด โดยเฉพาะในช่วงที่ค่าเงินผันผวนมากๆ”

          อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเศรษฐกิจจะมีการเติบโตช้าลงตั้งแต่ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ แต่ภาคการเงินยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ยังการเติบโตของสินเชื่อถึงแม้ว่าในช่วงครึ่งปีหลังอาจจะชะลอลดลงไปบ้าง แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ดี ไม่น่าเป็นห่วง โดยสินเชื่อของธนาคารน่าจะมีการเติบโตเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้

          “สินเชื่อของธนาคารก็ยังขยายได้ดี เพราะยังมีการขยายธุรกิจในหลายด้าน แม้ว่าเศรษฐกิจช้าลงบ้าง ก็ถือว่าเป็นการปรับตัวมากกว่า แต่หากลูกค้ามีปัญหา ธนาคารก็พร้อมช่วยเหลือ และติดตามดูอยู่ตลอด เพราะเรามีสาขามาก ดูแลได้ทั่วถึง ที่สำคัญคือ ต้องเข้าช่วยเหลือลูกค้าตั้งแต่ตอนต้น ไม่รอให้เกิดปัญหาจนแก้ไม่ได้”

          อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ธนาคารยังคงกังวลมากที่สุด คือ การใช้เงินผิดประเภทของลูกค้า เป็นปัจจัยที่เสี่ยงที่สุดในการทำให้เกิดหนี้เสียในระบบ ทางธนาคารมีการเข้มงวดมาโดยตลอดในเรื่องการคัดกรองคำขอสินเชื่อ และในปัจจุบัน ก็มีความเข้มงวดมากขึ้น และเริ่มทำมานานพอสมควรแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะหากมาทำในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวในขณะนี้ถือว่าช้าเกินไป

          ส่วนงบลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาทนั้น ถือเป็นเรื่องที่ดีในระยะยาว เพราะเป็นโครงการที่จะช่วยสร้างรากฐานของเศรษฐกิจ ถึงแม้จะใช้ระยะเวลานาน แต่ผลตอบแทนที่จะได้รับคุ้มค่า และจะช่วยสนับสนุนการพัฒนาของประเทศได้ในหลายๆ ทาง


วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2556

SCB ออกประกันออมชดเชยรายได้





ไทยพาณิชย์ ออก “ประกันออมสบาย ชดเชยรายวัน” ชูจุดเด่น ออมเดือนละพัน รับเงินชดเชยรายได้วันละพันบาท

          นายสมิทธ์ พนมยงค์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายเงินฝากและการลงทุน ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า “ประกันออมสบาย ชดเชยรายวัน” เป็นทางเลือกใหม่เจาะกลุ่มลูกค้าวัยทำงาน และผู้ประกอบอาชีพอิสระ ที่ต้องการเงินชดเชยรายได้ เพราะจากการวิเคราะห์พบว่า ลูกค้ากลุ่ม Mass ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดของธนาคาร โดยเฉพาะกลุ่มวัยทำงานทั้งผู้ประกอบอาชีพอิสระ และมนุษย์เงินเดือน อายุระหว่าง 25 – 35 ปี รายได้อยู่ในช่วง 1.5 หมื่นบาท – 5 หมื่นบาทต่อเดือนนั้น มีความต้องการเงินชดเชยรายได้ที่คล้ายกัน

          ด้าน นายวิพล วรเสาหฤท กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต หรือ SCBLIFE กล่าวว่า แบบประกันออมสบาย ชดเชยรายวัน เป็นประกันแบบสะสมทรัพย์ที่ชำระเบี้ยประกัน 15 ปี และให้ความคุ้มครองถึง 25 ปี มีจุดเด่นในการให้ประโยชน์กับลูกค้าวัยทำงานแบบ 3-in-1 ทั้งในเรื่องเงินชดเชยรายได้ ความคุ้มครองชีวิต และการออม ที่คุ้มค่าที่สุดในตลาด เพราะจากค่าเบี้ยประกันภัยเริ่มต้นเพียงเดือนละ 1,000 บาท สำหรับแผนความคุ้มครองที่ทุนประกันภัย 1 แสนบาท สำหรับ ความคุ้มครองที่ลูกค้าจะได้รับ ประกอบด้วย
- เงินชดเชยรายได้หากต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลทั้งกรณีเจ็บป่วยหรือได้รับอุบัติเหตุในช่วงที่จ่ายเบี้ยประกันภัย วันละ 1,000 บาท นานถึง 1,000 วัน หรือสูดสุด 1 ล้านบาท
- ความคุ้มครองกรณีเสียชีวิตตั้งแต่ 1 แสนบาท – 1.45 แสนบาทตลอดสัญญา ซึ่งถือว่าเป็นมรดกให้กับครอบครัวได้ตั้งหลักเมื่อเสียผู้เป็นเสาหลักของครอบครัวไป
- ผลประโยชน์เงินสดคืน 2,000 บาททุกๆ 4 ปี และครบกำหนดสัญญารับเงินอีกถึง 2.07 แสนบาท
รวมรับผลประโยชน์สูงสุดถึง 2.19 แสนบาท

          นายวิพล กล่าวว่า แบบประกันออมสบาย ชดเชยรายวัน รับประกันตั้งแต่อายุ 25 – 55 ปี มีให้เลือกถึง 3 แผน ได้แก่ ทุนประกันภัย 1 แสนบาท, 2 แสนบาท และ 3 แสนบาท เบี้ยประกันภัยเดือนละ 1,000, 2,000 และ 3,000 บาท รับความคุ้มครองชีวิตสูงสุดถึง 145% ของทุนประกัน และยังสามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย


วันศุกร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556

ธนาคารไทยพาณิชย์จำกัด (มหาชน) บริจาคเงินสนับสนุนโครงการบูรณะสะพานอุตตมานุสรณ์ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี





ธนาคารไทยพาณิชย์จำกัด (มหาชน) บริจาคเงินสนับสนุนโครงการบูรณะ สะพานอุตตมานุสรณ์ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี จำนวน 2 ล้านบาท
วันนี้ (13 ก.ย.56) เวลา 14.30 น. ที่ห้องประชุมแควน้อย ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดกาญจนบุรี อ.เมือง จังหวัดกาญจนบุรี นายชัยวัฒน์ ลิมป์วรรณธะ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี รับมอบเงินจากนางองค์อร อาภากร ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่อาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์จำกัด (มหาชน) จำนวน 2,000,000 บาท เพื่อนำไปสมทบทุนบูรณะสะพานอุตตมานุสรณ์ (สะพานไม้) โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ พนักงานธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เข้าร่วมฯ ขณะนี้มียอดบริจาคเงินสมทบทุนบูรณะสะพานอุตตมานุสรณ์ (สะพานไม้) จากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล จำนวน 5,000,000 บาท และจากธนาคารไทยพาณิชย์จำกัด (มหาชน) จำนวน 2,000,000 บาท รวมเป็นเงิน 7,000,000 บาท โดยเงินที่ได้รับบริจาคจะนำไปใช้ในการบูรณะสะพานอุตตมานุสรณ์ (สะพานไม้) เพื่อให้สามารถกลับมาสวยงามดังเดิม
นายชัยวัฒน์ ลิมป์วรรณธะ กล่าวว่า ทางจังหวัดกาญจนบุรีได้เปิดบัญชีของธนาคารไทยพาณิชย์ ให้ประชาชนได้ร่วมบริจาคเงินสมทบทุนบูรณสะพานอุตตมานุสรณ์ ชื่อบัญชี “กองทุนเพื่อการซ่อมบูรณะสะพานอุตตมานุสรณ์” บัญชีเลขที่ 607-301964-4 และทางธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ทำตัววิ่งบนหน้าจอตู้ ATM เชิญชวนประชาชนร่วมบริจาคเงินอีกด้วย สำหรับในเรื่องการเบิกจ่ายเงิน หากมีการดำเนินการที่จะต้องเบิกจ่ายเงิน จะต้องมีการประชุมและมีมติคณะกรรมการบูรณะสะพานอุตตมานุสรณ์ และมีการลงนามเบิกจ่ายจากผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี,รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี,ปลัดจังหวัดกาญจนบุรี,หัวหน้าสำนักงานจังหวัดกาญจนบุรี การดำเนินการซ่อมแซมจะเริ่มดำเนินการในช่วงน้ำลด โดยจะเร่งซ่อมแซมให้เสร็จในระยะเวลาที่เร็วที่สุด
นางองค์อร อาภากร ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่อาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) มีจุดยืนในเรื่อง ศิลปะ วัฒนธรรม ดังนั้นเมื่อมีข่าวว่าสะพานอัตตามานุสรณ์หัก ได้รับความเสียหาย จึงได้ประสานไปยังวัดวังวิเวก์การาม ว่าต้องการให้ช่วยเหลืออย่างไรบ้าง เพราะสะพานเป็นสิ่งสำคัญของชาวสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ถือว่าเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจากความสามัคคี และหากจังหวัดกาญจนบุรีมีเรื่องที่ธนาคารไทยพาณิชย์จะสามารถร่วมสนับสนุนได้ก็มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง

วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

ไทยพาณิชย์จัดสัมมนา SCB Investment Symposium 2013: รู้รอบทิศ พิชิตการลงทุนแนะโอกาสทองการลงทุนท่ามกลางวิกฤติตลาดผันผวน

20130910_symposium_01.jpg


          ธนาคารไทยพาณิชย์ จัดงานสัมมนาเศรษฐกิจ SCB Investment Symposium: รู้รอบทิศ 

พิชิตการลงทุน ให้ความรู้และคำแนะนำในการลงทุนแก่ลูกค้าและผู้ที่สนใจ ผ่าน 5 กูรูด้านการ

เงินการลงทุนแถวหน้าของประเทศ พร้อมปาฐกถาพิเศษ โดย ดร. เอกนิติ นิติฑัณฑ์ประภาศ รองผู้

อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ทิศทางตลาดทุน รู้เรื่องหุ้น และการลงทุนไทย เปิดมุมมอง

แนวโน้มเศรษฐกิจไทย สะท้อนแนวคิดด้านการลงทุน มุ่งสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับนัก

ลงทุนเกี่ยวกับ ภาพรวมสภาพเศรษฐกิจของประเทศในไตรมาสสุดท้าย รวมทั้งทิศทางและเคล็ดลับ 

การลงทุนปลายปี 2556 เพื่อให้นักลงทุนได้เตรียมพร้อมรับมือกับทุกโอกาส และความท้าทายต่างๆ

 ด้านการลงทุน

            นายสมิทธ์ พนมยงค์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายเงินฝากและการลงทุน ธนาคารไทย

พาณิชย์ กล่าวว่า "จากความผันผวนของเศรษฐกิจในปัจจุบัน ส่งผลให้ เศรษฐกิจไทยในไตรมาส

สุดท้ายของปี 2556 มีท่าทีที่จะชะลอตัว ตามการคาดการณ์ของ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคาร

ไทยพาณิชย์ จีดีพีในไตรมาส 4 น่าจะขยายตัว ประมาณ 2.2% อย่างไรก็ตามภาคธุรกิจโดยรวมยัง

ค่อนข้างมั่นคง ความสามารถในการ ทำกำไรยังค่อนข้างดี บริษัทชั้นนำก็มีความสามารถในการทำ

กำไรที่จะขับเคลื่อนต่อไปได้ ซึ่งมองว่าเป็นโอกาสเหมาะแก่การลงทุนระยะยาว ขณะเดียวกันแนวโน้ม

เศรษฐกิจโลก ในภาพรวมมีสัญญาณที่ดีขึ้น ด้านการลงทุนยังถือว่าเป็นช่วงที่นักลงทุนควรจับตามอง 

และระมัดระวังเป็นพิเศษ และเพื่อให้ลูกค้าและนักลงทุนมีความรู้ความเข้าใจในการติดตาม ความ

เคลื่อนไหวของเศรษฐกิจเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการลงทุนนั้น ธนาคารจึงได้จัดงาน สัมมนาเศรษฐกิจ

 SCB Investment Symposium ขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ของปีนี้ ภายใต้หัวข้อ รู้รอบทิศ พิชิตการลงทุน เพื่อ

ให้ความรู้และข้อมูลในเรื่องที่เกี่ยวกับภาพรวมเศรษฐกิจ ของประเทศ นโยบายด้านการเงินการคลังที่

น่าจับตามอง รวมถึงทิศทางการลงทุนจากนี้ไป ช่วยให้นักลงทุนวางแผนในการบริหารพอร์ตลงทุนได้

อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับ เศรษฐกิจ"

            งานสัมมนาเศรษฐกิจ SCB Investment Symposium : รู้รอบทิศ พิชิตการลงทุน โดยได้รับ

เกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศร่วมให้ความรู้เพื่อเปิดมุมมองด้าน

การลงทุนแก่ผู้ร่วมงาน อาทิ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการ

คลัง ให้เกียรติบรรยายพิเศษในหัวข้อ "ทิศทางเศรษฐกิจไทย" นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการ

และผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้มุมมองเกี่ยวกับ "ทิศทางตลาดทุน รู้เรื่องหุ้น และ

การลงทุนไทย" นายศุภชัย เจียรวนนท์ กับการให้ข้อมูลภาพรวมของธุรกิจโทรคมนาคม ในสภาวะ

เศรษฐกิจปัจจุบัน ผลกระทบ ความน่าสนใจ ทิศทาง และอนาคตของธุรกิจโทรคมนาคม นางโชติกา

 สวนานนท์ กับคำแนะนำลงทุนอย่างมีประสิทธิ์ภาพ ลงทุนอย่างไรให้ได้กำไรสูงสุด และปิดท้ายด้ว

 ตัวแทนนักลงทุน นายณัฐธีร์ โกศลพิศิษฐ์ ลงทุนที่มาให้ประสบการณ์เกี่ยวกับ "มุมมองนักลงทุน 

ความกังวลเรื่องการลงทุนเรื่องปีหลัง รวมทั้งเทคนิคการลงทุนอย่างชาญฉลาด" ไทยพาณิชย์ หวังเป็น

อย่างยิ่งว่าผู้เข้าร่วมงานสัมมนาในครั้งนี้จะได้รับข้อมูล อันเป็นประโยชน์และเป็นแนวทางในการ

กำหนดกลยุทธ์บริหารพอร์ตการลงทุน ส่วนบุคคลอย่างชาญฉลาด โดยธนาคารให้ความสำคัญกับ

บทบาทการเป็นที่ปรึกษา ทางการเงินและการลงทุนโดยทีมผู้เชี่ยวชาญ มุ่งเน้นในเรื่องการจัดสรร

สินทรัพย์ เพื่อการลงทุน (Asset Allocation) กระจายในทุกกลุ่มการลงทุนหลักๆ และสอดคล้องกับ

 ความเสี่ยงที่ลูกค้าสามารถรับได้ ซึ่งเป็นหัวใจหลักที่จะช่วยเพิ่มพูนความมั่งคั่งจากการ ลงทุนอย่าง

มั่นคงต่อไป” นายสมิทธ์กล่าวสรุป



วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2556

เอไอเอส 3G วัน-ทู-คอล! เติมเงินด้วย Auto Top Up ผ่าน ATM ไทยพาณิชย์ รับค่าโทรเพิ่มฟรี!! 10%



ลูกค้าเอไอเอส 3G วัน-ทู-คอล! เติมเงินด้วยบริการ Auto Top Up ผ่านเครื่อง ATM ธนาคารไทยพาณิชย์วันนี้ รับค่าโทรเพิ่มฟรี!! 10%

          เอไอเอส 3G วัน-ทู-คอล! โดย นายอเนก อนันต์วัฒนพงษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ส่วนงานบริหารกลุ่มลูกค้าพรีเพด เพิ่มทางเลือกในการเติมเงินอัตโนมัติผ่านบัญชีธนาคารให้แก่ลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดจับมือนายไตรรงค์ บุตรากาศ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สาย GTS ธนาคารไทยพาณิชย์ ออกบริการ “เอไอเอส 3G Auto Top Up ผ่านเครื่อง ATM ธนาคารไทยพาณิชย์” เพื่อให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบาย โดยไม่ต้องกังวัลว่าเงินจะหมดระหว่างการใช้งาน โดยมีให้เลือกใช้งานได้ในหลากหลายรูปแบบ ทั้งการเติมเงินให้ลูกค้าแบบอัตโนมัติทันทีทุกครั้งที่ยอดเงินคงเหลือต่ำกว่า 50 บาท, การเติมเงินแบบอัตโนมัติให้ลูกค้า ทุกเดือนตามวันที่ ที่ลูกค้ากำหนดไว้ รวมทั้งให้ลูกค้าเติมเงินได้เองง่ายๆ ผ่านมือถือ ทุกที่ทุกเวลา เพียงกด*124 แล้วโทรออก โดยมียอดเงินให้เลือกเติมได้ตั้งแต่ 50-1,500 บาท พิเศษ!!!ทุกครั้งที่เติมเงินผ่านบริการดังกล่าว ตั้งแต่วันนี้-31 ธันวาคม 2556 รับค่าโทรเพิ่มฟรี!! 10% ลูกค้าที่สนใจสมัครใช้บริการได้ง่ายๆ ผ่านทางเครื่อง ATM ธนาคารไทยพาณิชย์ทั่วประเทศ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เอไอเอส คอลล์ เซ็นเตอร์ 1175 หรือ SCB คอลล์


วันอังคารที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ไทยพาณิชย์คาดศก.โต4%การบริโภคแผ่ว


ไทยพาณิชย์มองแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัว 4% การบริโภคในประเทศเริ่มแผ่ว! หนี้ครัวเรือนพุ่ง คนไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย เมกะโปรเจคเลื่อน

          ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (EIC) รายงานว่า สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานตัวเลข GDP ของไทยในไตรมาส 2 ปี 2013 ขยายตัว 2.8%YOY (เทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า) ชะลอลงจาก 5.4%YOY ในไตรมาสที่ผ่านมา หรือหดตัว 0.3%QOQ (เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ปรับฤดูกาล)

          ทั้งนี้ GDP หดตัว 2 ไตรมาสติดต่อกัน GDP ในไตรมาส 2 หดตัวลง 0.3% QOQ หลังจากที่หดตัว 1.7%QOQ ในไตรมาส 1 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการใช้จ่ายของครัวเรือนและการส่งออกสินค้าและบริการที่ลดลงต่อเนื่อง

          EIC ระบุว่า อุปสงค์ในประเทศชะลอตัวลงติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 2 โดยสามารถขยายตัวได้เพียง 3.4%YOY ชะลอลงจาก 4.6%YOY ในไตรมาสก่อนหน้า การใช้จ่ายของภาคครัวเรือนชะลอตัวลงเหลือ2.4%YOY จาก 4.4% ในไตรมาสก่อนหน้าตามการบริโภคในกลุ่มสินค้าคงทนประเภทยานยนต์หลังจากมาตรการคืนภาษีรถยนต์คันแรกทยอยหมดลง

          ขณะที่การลงทุนขยายตัวราว 4.5%YOY ชะลอลงจาก 5.8% ในไตรมาสก่อนหน้าตามการชะลอตัวลงของการก่อสร้างในส่วนของภาครัฐที่ขยายตัวได้เพียง 2.4%YOY จาก 13.4%YOY ในไตรมาสแรก นอกจากนี้ การลงทุนของภาคเอกชนชะลอลงเล็กน้อยทั้งในส่วนของการก่อสร้างและการลงทุนในเครื่องจักร

          ทั้งนี้ การส่งออกสินค้าหดตัวแต่รายรับด้านบริการยังขยายตัวสูง การส่งออกหดตัว 1.5% ในไตรมาสสอง โดยการส่งออกสินค้าเกษตรหดตัวลงตามปริมาณผลผลิตกุ้ง เนื่องจากเกษตรกรชะลอการเลี้ยงกุ้งรอบใหม่หลังจากที่ต้องประสบกับปัญหาจากโรค Early Mortality Syndrome หรือ EMS ในกุ้งในช่วงที่ผ่านมา และการส่งออกข้าวที่ลดลงจากการชะลอการนำเข้าของประเทศผู้นำเข้าสำคัญอย่างสหรัฐฯ

          ในขณะที่การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมหลักอย่างสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้านั้นหดตัวตามอุปสงค์ในตลาดโลกที่ยังไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควร อย่างไรก็ดี รายรับที่ได้จากการบริการขยายตัวได้ดีต่อเนื่องโดยเฉพาะจากการ ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวต่างชาติยังขยายตัวสูงต่อเนื่อง

          EIC ระบุว่า แนวโน้มการใช้จ่ายในประเทศที่ชะลอตัวลงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการขยายตัวในปีนี้ แม้ว่ารายได้เกษตรกรจะเริ่มปรับตัวสูงขึ้นตามราคาผลผลิตทางการเกษตรที่สำคัญและเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำจะส่งสัญญาณที่ดีต่อทิศทางการใช้จ่ายภาคครัวเรือนในระยะต่อไป แต่การก่อหนี้เพื่ออุปโภคบริโภคในช่วงก่อนหน้านี้ทำให้ประชาชนเริ่มมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น

          ในขณะที่ภาคเอกชนยังไม่มีความจำเป็นที่ต้องลงทุนเพิ่มเติมเนื่องจากได้มีการลงทุนเพื่อชดเชยความเสียหายจากภาวะน้ำท่วมได้ไม่นานรวมถึงยังมีกำลังการผลิตเหลืออยู่ อีกทั้งแผนการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐในครึ่งปีหลังยังถูกชะลอออกไป ทำให้แรงส่งจากการใช้จ่ายภายในประเทศมีโอกาสที่จะหายไปบ้างในช่วงที่เหลือของปี

          “เศรษฐกิจไทยปี 2013 น่าจะขยายตัวที่ราว 4% การส่งออกในครึ่งปีหลังมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างช้าๆ ตามการฟื้นตัวของประเทศกลุ่ม G-3 รวมถึงประเทศจีนที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมเริ่มมีสัญญาณดีขึ้น แต่เศรษฐกิจไทยยังมีอุปสรรคจากการชะลอตัวของการใช้จ่ายในประเทศ ทั้งนี้ การกระตุ้นเศรษฐกิจทำได้ไม่ง่ายนักในภาวะที่ภาคครัวเรือนเพิ่มความระมัดระวังในการใช้จ่ายเนื่องจากภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้น”


วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ไทยพาณิชย์ชูนวัตกรรมออนไลน์รุกธุรกิจเทรด เปิดตัว SCB Trade Net ทำทุกธุรกรรมการค้าต่างประเทศออนไลน์โดยไม่ต้องส่งเอกสาร แล้วเสร็จใน 2 ชั่วโมง

          ไทยพาณิชย์ตอกย้ำความเป็นผู้นำทางด้านนวัตกรรมทางการเงิน ทุ่ม 400 ล้าน ปรับหน้าบ้านและหลังบ้าน ยกระดับระบบงานธุรกรรมการค้าต่างประเทศที่ดีที่สุดระบบหนึ่งในอาเซียน พัฒนา SCB Trade Net ซึ่งเป็นระบบงานการค้าต่างประเทศออนไลน์ระบบเดียวที่อำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่ทำธุรกรรมออนไลน์ได้อย่างครบทุกรายการภายใน 2 ชั่วโมง โดยไม่ต้องส่งเอกสารตัวจริงช่วยให้บริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดธุรกรรมการค้าต่างประเทศกว่า 15% ภายในสิ้นปีนี้





          นายไตรรงค์ บุตรากาศ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สาย GTS ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “ปัจจุบันธนาคารให้บริการทางด้านธุรกรรมการค้าต่างประเทศแก่ลูกค้ากว่า 7,000 ราย โดยในระยะหลังลูกค้าให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีและมีการใช้บริการธุรกรรมออนไลน์มากขึ้น จึงมีการพัฒนาระบบธุรกรรมออนไลน์อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้ลงทุนงบประมาณกว่า 400 ล้านบาทเพื่อปรับปรุงระบบงานทางด้านธุรกรรมการค้าต่างประเทศใหม่ทั้งระบบหน้าบ้านและหลังบ้าน ซึ่งรวมถึงการพัฒนาช่องทางการทำธุรกรรมออนไลน์รูปแบบใหม่ภายใต้ชื่อ SCB Trade Net ซึ่งเป็นระบบธุรกรรมออนไลน์ระบบเดียวที่ให้ลูกค้าสามารถจัดการธุรกรรมได้ครบวงจร โดยจะช่วยให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมได้อย่างสะดวกรวดเร็ว เพราะใช้เวลาในการดำเนินการ ให้เสร็จภายใน 2 ชั่วโมง และยังลดความยุ่งยากในการจัดส่งเอกสารและแบบคำขอ จึงช่วยลดต้นทุนให้กับธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ”


          SCB Trade Net คือ ระบบธุรกรรมการค้าต่างประเทศออนไลน์ครบวงจร ที่ลูกค้าซึ่งเป็นธุรกิจขนาดกลาง-ขนาดใหญ่สามารถทำรายการผ่านช่องทางอินเตอร์เน็ต www.scbtradenet.com โดยลูกค้าสามารถดำเนินธุรกรรมการค้าต่างประเทศทุกรายการได้แล้วเสร็จภายใน 2 ชั่วโมง โดยไม่ต้องส่งเอกสารตัวจริง ตั้งแต่คำขอ จนถึงเอกสารประกอบ ไม่ว่าจะเป็นการเปิด L/C สั่งจ่ายเงินตาม L/C, จนถึงขอกู้สินเชื่อ T/R Packing รวมทั้งยังสามารถตรวจสอบวงเงินสินเชื่อ ขออัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และแจ้งทุกความเคลื่อนไหวสถานะของรายการการค้าได้แบบ Real-timeในหน้าจอเดียว โดยไม่ต้องติดต่อเจ้าหน้าที่ ซึ่งถือเป็นระบบออนไลน์เดียวในตลาดที่สามารถให้บริการได้ครบวงจรรายแรกของประเทศไทย ช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำการค้าระหว่างประเทศให้กับลูกค้าได้มากขึ้น SCB Trade Net สามารถลดต้นทุนค่าใช้จ่ายของลูกค้าได้กว่า 30% และสามารถลดระยะเวลาในการทำธุรกรรมการค้าต่างประเทศได้กว่า 50%


          “จากการพัฒนาระบบการทำธุรกรรมการค้าต่างประเทศออนไลน์ธนาคารคาดว่า จะมีลูกค้าให้ความสนใจใช้บริการกว่า 1,500 ราย ภายในปี 2556 อย่างไรก็ดี ระบบนี้เป็นระบบสนับสนุนการทำธุรกรรมที่เพิ่มความสะดวกและลดค่าใช้จ่ายให้ลูกค้า โดยคาดว่าจะทำให้ลูกค้ามีการทำธุรกรรมผ่านระบบนี้เพิ่มขึ้นอีกกว่า 30% ปัจจุบันธุรกิจการค้าต่างประเทศของธนาคารมีส่วนแบ่งการตลาด 14% ธนาคารมีความมุ่งมั่นที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดด้วยเป้าส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 15% ภายในสิ้นปี” นายไตรรงค์ กล่าวสรุป


>>แหล่งที่มา<<

วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2556

กลุ่มไทยพาณิชย์ฉลองความสำเร็จการจำหน่ายกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ คริสตัล รีเทล โกรท





          กลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ คริสตัล รีเทล โกรท ซึ่งได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี โดยมี นายอาทิตย์ นันทวิทยา รองผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด พร้อมด้วย นายกวีพันธ์ เอี่ยมสกุลรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เค.อี.รีเทล จำกัด ร่วมในพิธีฉลองความสำเร็จครั้งนี้ จัดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ ณ The Crystal Park


>>แหล่งที่มา<<

วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ธนาคารไทยพาณิชย์คว้ารางวัล ธนาคารยอดเยี่ยมแห่งประเทศไทยจาก Euromoney




          ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้รับรางวัล ธนาคารยอดเยี่ยมแห่งประเทศไทย ประจำปี 2556 (Best Bank 2013) จากนิตยสารชั้นนำทางด้านเศรษฐกิจการเงินแห่งประเทศอังกฤษEuromoney จากผลการดำเนินงานอันโดดเด่น การสร้างความเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และแข็งแกร่ง ทั้งทางด้านผลประกอบการ และควบคุมจัดการกับหนี้ด้อยคุณภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศ นับเป็นปีที่ 3 ติดต่อกันที่ธนาคารได้รับรางวัลดังกล่าวโดยมี นายดีแพก ซาหรับ รองผู้จัดการใหญ่ กลุ่มการเงิน และโครงการปรับปรุงธนาคาร ธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นตัวแทนธนาคารเข้ารับรางวัล เมื่อเร็วๆ นี้ที่ฮ่องกง


>>แหล่งที่มา<<

วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ศูนย์วิจัยฯแบงก์ใบโพธิ์ลดเป้า ศก.ไทยปีนี้ขยายตัวเหลือ 4%


          ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจตลอดทั้งปี จากร้อยละ 5.1 เหลือร้อยละ 4 และการส่งออกจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 3.7 โดยเป็นผลจากเศรษฐกิจจีนชะลอตัว กระทบการส่งออกของไทย รวมถึงกรณีฟ้องร้องในโครงการลงทุนบริหารจัดการน้ำ


          นางสุทธา อมรวิวัฒน์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยฯ เชื่อว่าเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 จะไม่ติดลบ ขณะที่ธนาคารพาณิชย์คงเพิ่มความระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น หลังกลุ่มผู้มีรายได้น้อยมีอัตราการเพิ่มขึ้นเร็วจนน่าเป็นห่วง


          ศูนย์วิจัยฯ ยังวิเคราะห์ว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 จากปัจจุบันร้อยละ 2.5 ในช่วงปลายปี พร้อมกับการดำเนินมาตรการกำกับสินเชื่อสถาบันการเงิน เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยไม่เพิ่มความเสี่ยงการก่อหนี้ครัวเรือนจนเกินไป


          ส่วนปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองในช่วงเปิดสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีวาระพิจารณา ทั้งร่างกฎหมายนิรโทษกรรม งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 และร่างพระราชบัญญัติลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาทนั้น แม้ไม่กระทบการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีนี้ แต่หากเกิดความวุ่นวายขึ้น อาจทำให้เสียโอกาสทางเศรษฐกิจได้


>>แหล่งที่มา<<

วันพุธที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ไทยพาณิชย์ ร่วมกับ SCB LIFE เปิดตัวเครื่องมือวางแผนมรดกแบบใหม่ คุ้มค่าทั้งผู้ให้และผู้รับ





          ธนาคารไทยพาณิชย์ ผนึกกำลังกับ ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต (SCBLIFE) ตอกย้ำความเป็นผู้นำในธุรกิจแบงก์แอสชัวรันส์ ส่งผลิตภัณฑ์น้องใหม่ “ประกันเลือกได้... มรดกตามใจ” ทางเลือกใหม่ในการวางแผนมรดกจับลูกค้ากลุ่มบน อาทิ นักธุรกิจ และผู้บริหาร พร้อมชู 5 จุดเด่นความคุ้มค่าโดนใจ อันได้แก่ ชำระเบี้ยประกันภัยน้อย แต่เป็นมรดกให้ทายาทเต็ม 100% เลือกระยะเวลาชำระเบี้ยประกันภัยได้ 2 ระยะ ได้แก่ 5 ปี และ 10 ปี คุ้มครองถึงอายุ 99 ปี ลดหย่อนภาษีได้ และไม่ต้องตรวจสุขภาพคาดผลิตภัณฑ์ใหม่นี้จะได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มเป้าหมาย ส่งผลภาพรวมตลาดประกันชีวิตครึ่งปีหลัง 2556 กลับมาคึกคัก

         นายสมิทธ์ พนมยงค์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายเงินฝากและการลงทุน ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า “ธนาคารได้ร่วมกับบริษัทไทยพาณิชย์ประกันชีวิต พัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตรูปแบบใหม่ ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของลูกค้ากลุ่ม SCB FIRST และ Private Bank อาทิเช่น นักธุรกิจ ผู้บริหาร ที่ต้องการความคุ้มครองที่สูงกว่าประกันแบบออมทรัพย์ทั่วไปที่มีอยู่ในตลาด เพื่อเป็นการคุ้มครองธุรกิจและส่งต่อมรดกให้ลูกหลาน สำหรับ “ประกันเลือกได้... มรดกตามใจ” เป็นการสานต่อนวัตกรรมความสำเร็จและเติมเต็มประกันในกลุ่ม “ประกันเลือกได้” ที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถเลือก ระยะเวลาคุ้มครองและระยะเวลาการจ่ายเบี้ย ได้ตามต้องการ ลูกค้าในกลุ่ม Private Bank และ SCB FIRST เป็นกลุ่มที่มีศักยภาพสูง มีแนวโน้มการเติบโตดี แต่ยังไม่มีผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต ที่ตรงกับความต้องการของกลุ่มนี้อย่างแท้จริง ประกันแบบออมทรัพย์ทั่วไปในตลาดมักเน้นไปที่การประหยัดภาษีและมีเงินคืนระหว่างทาง แต่ความคุ้มครองต่ำเมื่อเทียบกับเบี้ยที่จ่ายไป ผลการสำรวจและวิจัยความต้องการของกลุ่มนี้พบว่า การส่งต่อความมั่งคั่งและอนาคตที่มั่นคงให้กับลูกหลาน เป็นปัจจัยที่สำคัญก่อนการใช้ชีวิตตามใจอย่างมีความสุข โดยไม่เป็นภาระของคนข้างหลัง ซึ่งประกันแบบใหม่ “ประกันเลือกได้... มรดกตามใจ” จะเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการนี้ได้อย่างลงตัว”

ด้าน นายวิพล วรเสาหฤท กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ SCBLIFE กล่าวว่า “แบบประกันเลือกได้... มรดกตามใจ” เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือทางเลือกในการวางแผนมรดกรูปแบบใหม่ที่ผู้บริโภคมีอิสระในการเลือกได้ตามความต้องการ และให้ประโยชน์ที่คุ้มค่าแก่ทั้งผู้ให้ และผู้รับ เพราะโดดเด่นด้วยความคุ้มค่าในการชำระเบี้ยที่น้อยเมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่จะได้รับ เพื่อเป็นมรดกให้ทายาทเต็ม 100% ซึ่งนอกจากจะช่วยให้หมดความกังวลเรื่องอนาคตของบุคคลอันเป็นที่รักแล้ว ผู้ให้ยังสามารถนำเงินส่วนต่างนั้นไปต่อยอดเติมเต็มความสุขได้ตามความพึงพอใจของตนเองอีกด้วย ด้านทายาทก็ไม่ต้องกังวลต่อเหตุการณ์ผันผวนในฐานะทางการเงินหรือมูลค่าทรัพย์สินของผู้ให้ สามารถรับเงินสินไหมได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนศาลเหมือนเช่นมรดกทั่วไป และไม่มีภาระภาษีเหมือนเช่นสินทรัพย์อื่นๆ”





          ตัวอย่างเช่น ลูกค้าเพศชาย อายุ 50 ปี ต้องการวางแผนมรดกให้กับทายาท 10 ล้านบาท ถ้าเป็นมรดกรูปแบบอื่นๆ ลูกค้าต้องกันเงินไว้ 10 ล้านบาทเต็มจำนวน หากเลือกวิธีวางแผนมรดกแบบใหม่กับ “ประกันเลือกได้ มรดกตามใจ 99/5” ที่ทุนประกันภัย 10 ล้านบาท ลูกค้าจะจ่ายเบี้ยประกันภัยรวม 5 ปี อยู่ที่ 5.40 ล้านบาท (ปีละ 1.08 ล้านบาท) โดยจะได้รับความคุ้มครองชีวิตเต็ม 100% ของทุนประกันภัยยาวนานตลอดชีวิตจนถึงอายุ 99 ปี ซึ่งช่วยให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่า ได้วางแผนเตรียมเงินมรดกไว้ให้แก่ทายาทผู้รับผลประโยชน์เต็มจำนวน 10 ล้านบาท สำหรับเงินส่วนต่างอีก 4.60 ล้านบาทนั้น ลูกค้ายังสามารถนำไปเติมเต็มความสุข ความฝันของตนเอง หรือจัดสรรไว้สำหรับการใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างมีความสุข โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นภาระของคนข้างหลัง

         แบบประกันดังกล่าว ลูกค้าสามารถเลือกระยะเวลาชำระเบี้ยประกันภัย 5 ปี หรือ 10 ปี โดยจะได้รับความคุ้มครองชีวิตยาวนานตลอดชีวิตถึงอายุ 99 ปี เต็มจำนวน 100% ของทุนประกันภัยตลอดสัญญา โดยทุนประกันภัยเริ่มต้นที่ 500,000 บาท และไม่จำกัดทุนประกันภัยสูงสุด ไม่ต้องตรวจสุขภาพสำหรับทุนประกันภัยรวมไม่เกินวงเงิน 4 ล้านบาทและอยู่ในเกณฑ์ที่บริษัทกำหนด และยังได้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีสูงสุด 100,000 บาท รับประกันภัยตั้งแต่อายุ 30-70 ปี

          นายสมิทธ์ กล่าวปิดท้ายว่า จุดมุ่งหมายของธนาคารคือมุ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้า ซึ่งประกันเลือกได้... มรดกตามใจ ตอบโจทย์ความต้องการให้กับลูกค้ากลุ่ม SCB FIRST และ Private Bank ในการส่งต่อความมั่งคั่งไปยังรุ่นต่อไปอย่างคุ้มค่า ซึ่งธนาคารหวังว่าจะได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดี

สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าธนาคารไทยพาณิชย์ โทร. 02-777-7777 

วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ไทยพาณิชย์โชว์กำไรสุทธิครึ่งปีโต29.7%

ไทยพาณิชย์โชว์กำไรสุทธิครึ่งปีโต29.7%


ธนาคารไทยพาณิชย์ โชว์กำไรสุทธิครึ่งปีแรก 2.58 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.7% จากปีก่อน


          ธนาคารไทยพาณิชย์ ประกาศกำไรสุทธิไตรมาสที่ 2/2556 จำนวน 12,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.5% ซึ่งเป็นผลประกอบการที่อยู่ในระดับสูง เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 9,800 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวม เติบโตเป็น 29,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.8% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนกำไรสุทธิที่ดีมาจากการขยายตัวของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้น 18.1% และรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น 20.0% ด้านคุณภาพของสินเชื่ออยู่ในระดับดี โดยสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ยังคงที่ในระดับ 2.1% 


          สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรก ธนาคารมีกำไรสุทธิรวม 25,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไรที่เติบโตสูงนี้ มาจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้น 19.8% และรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น 20.8%


          นายวิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า รายได้รวมและกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของธนาคาร แสดงให้เห็นถึงผลประกอบการที่เติบโตอย่างยั่งยืน และรูปแบบการดำเนินงานของธนาคารที่แข่งขันได้ดี ความสำเร็จดังกล่าวเป็นผลจากการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจที่ธนาคารได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

     
          ทั้งนี้ รายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้น 18.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากสินเชื่อขยายตัว 16.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน การขยายตัวไปในกลุ่มสินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น รวมทั้งการเติบโตของการลงทุน นอกจากสินเชื่อจะเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจแล้ว ธนาคารยังมีการเติบโตสูงกว่าตลาดโดยรวมอีกด้วย ซึ่งเกิดจากกลยุทธ์ในการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มสินเชื่อลูกค้าธุรกิจ(SME) สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อรถยนต์


          เช่นเดียวกับรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น 20% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งมาจากรายได้สุทธิจากการรับประกันภัยที่เติบโต 18% รายได้จากค่าธรรมเนียมและบริการที่เพิ่มขึ้น 12.6% และรายได้จากธุรกรรมเพื่อการค้าและการปริวรรตเงินตราต่างประเทศ เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งถึง 67.6%


"การเติบโตของรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย สอดคล้องกับกลยุทธ์ธุรกิจของธนาคารที่มุ่งเน้นการเพิ่มรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย มากกว่ารายได้ดอกเบี้ยสุทธิ"


          อย่างไรก็ตาม ด้วยการดำเนินการด้วยความระมัดระวัง เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของสภาวะเศรษฐกิจในอนาคต ธนาคารได้ตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญในไตรมาสที่ 2 เพิ่มจาก 2,550 ล้านบาท เป็น 2,700 ล้านบาท นอกจากนี้ อัตราส่วนสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพของธนาคารก็สูงถึง 144.9% ซึ่งเป็นระดับที่ถือว่าสูงในช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจ


>>แหล่งที่มา<<

วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

บลจ.ไทยพาณิชย์ จ่ายปันผล 3 กองทุนอสังหาฯ รวม 687 ล้านบาท

          บลจ.ไทยพาณิชย์ จ่ายปันผล 3 กองทุนอสังหาฯ CPNRF, POPF, CPNCG รวม 687 ล้านบาท เตรียมขอมติผู้ถือหน่วยเพิ่มทุน CPNRF ดึงเซ็นทรัลพลาซา เชียงใหม่ เข้าพอร์ต


          นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ภายใต้การบริหารของบริษัทฯ พร้อมกัน 3 กองทุน สำหรับผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2556 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2556 คิดเป็นมูลค่าเงินปันผล รวมทั้งสิ้นประมาณ 687 ล้านบาท ในวันที่ 15 สิงหาคม 2556 ประกอบด้วย กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ CPN รีเทล โกรท หรือ CPN Retail Growth Leasehold Property Fund (CPNRF) ซึ่งลงทุนในศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซารัชดา-พระราม3, พระราม 2 และปิ่นเกล้า ที่มีผลการดำเนินงานดีอย่างต่อเนื่อง โดยจะจ่ายปันผลในอัตรา 0.3167 บาทต่อหน่วย โดยที่ผ่านมาได้จ่ายเงินปันผลเป็นจำนวน 7.4412 บาทต่อหน่วยลงทุน (นับตั้งแต่วันที่จ่ายปันผลครั้งแรก 6 มีนาคม 2549)


          ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังมีการจ่ายปันผลกองทุนอสังหาฯ ประเภทอาคารสำนักงาน อีกจำนวน 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไพรม์ออฟฟิศ หรือ Prime Office Leasehold Property Fund (POPF) ที่ลงทุนในอาคารเพลินจิต เซ็นเตอร์ และอาคารยูบีซี 2 จะจ่ายปันผลในอัตรา 0.2527 บาทต่อหน่วย โดยที่ผ่านมาได้จ่ายเงินปันผลเป็นจำนวน 2.2179 บาทต่อหน่วย (นับตั้งแต่วันที่จ่ายปันผลครั้งแรก 7 กันยายน 2554) และกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ CPN คอมเมอร์เชียล โกรท หรือ CPN Commercial Growth Leasehold Property Fund (CPNCG) ที่ลงทุนในอาคารสำนักงาน ดิ ออฟฟิศเศส แอท เซ็นทรัลเวิลด์ จะจ่ายปันผลในอัตรา 0.1941 บาทต่อหน่วย ซึ่งที่ผ่านมาได้จ่ายเงินปันผลเป็นจำนวน 0.6248 บาทต่อหน่วย (นับตั้งแต่วันที่จ่ายปันผลครั้งแรก 14 กุมภาพันธ์ 2556)


          นอกจากนี้ ในฐานะที่ บลจ.ไทยพาณิชย์เป็นผู้จัดการกองทุน CPNRF บริษัทฯ ยังได้เตรียมจัดประชุม ผู้ถือหน่วยลงทุนครั้งที่ 1/2556 ในวันที่ 24 กรกฎาคม 2556 เวลา 9.00-11.00 น. ณ ห้องวิภาวดีบอลรูม โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว เพื่อขอมติพิจารณาอนุมัติเพิ่มทุนกองทุน CPNRF เพื่อลงทุนในโครงการเซ็นทรัลพลาซา เชียงใหม่ แอร์พอร์ต เพิ่มเติมด้วย โดยข้อมูลราคาตลาดของกองทุน CPNRF ที่ปรากฏในตลาดหลักทรัพย์ ณ 16 กรกฎาคม 2556 มีมูลค่าราคาตลาด ประมาณ 29,126.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 97% นับจากมูลค่าราคาตลาด ณ วันที่มีการเพิ่มทุน ในปี 2552


>>แหล่งที่มา<<

วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

บลจ.ไทยพาณิชย์ แนะทยอยลงทุนกอง LTF รับตลาดหุ้นผันผวน

          นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผย ว่า ปัจจุบันดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทยอยู่ในระดับที่น่าสนใจในการเข้ามาลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุน ที่รอจังหวะเข้าลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ถึงแม้ว่าปัจจุบันดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ระดับ 1,400 จุด มี PE ประมาณ 12.5 เท่าของกำไรในปี 2556 ซึ่งดูเหมือนยังสูงอยู่เมื่อเทียบกับในอดีตดัชนี ตลาดหลักทรัพย์มี PE เฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี อยู่ประมาณ 11.5 เท่า แต่เนื่องจากปัจจุบันมีความแตกต่าง จากอดีตที่ประเทศไทยมีปัญหาเรื่องเสถียรภาพทางการเมือง อีกทั้งแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยรวมในปัจจุบันสูงกว่าในอดีตอยู่พอสมควร


          ทั้งนี้นโยบายการบริหารกองทุนของ บลจ.ไทยพาณิชย์จะเน้นการลงทุนในหุ้นที่ PE ไม่สูงมากเพราะใน อนาคตเศรษฐกิจจะมีความผันผวนกว่า 2-3 ปีที่ผ่านมา ดังนั้นหุ้นที่มีผลดำเนินงานที่ดีอย่าง สม่ำเสมอจะสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นที่เน้นการเติบโตจากโครงการในอนาคต อย่างไรก็ตามสิ่งที่ ยังต้องจับตามอง


          คือเรื่องการเมืองภายในประเทศ ทั้งเรื่องของการจำนำข้าว นโยบายการจัดการน้ำและโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการตัดสินคดีเขาพระวิหารทีจะเกิดขึ้น ในไตรมาสที่ 3 นี้ รวมถึงภาวะเศรษฐกิจของประเทศจีนที่มีการเติบโตที่ลดลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยและทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับลงมาต่ำกว่าที่ควรจะเป็นได้


          สำหรับคำแนะนำการลงทุนในช่วงนี้ นักลงทุนควรแบ่งเงินออกเป็นส่วนๆ เพื่อทยอยเข้าซื้อกองทุนอย่าง เพราะมีโอกาสเป็นไปได้ที่ในอีก 1 ถึง 2 เดือนข้างหน้า ราคาหุ้นยังมีความผันผวนต่อเนื่อง โดย กองทุน LTF ของทาง บลจ.ไทยพาณิชย์ที่น่าสนใจ แบ่งเป็น 2 แบบ คือ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะ ยาวพลัส (SCBLT2) ที่เน้นการลงทุนในหุ้นที่มีความผันผวนต่ำ ราคาต่ำกว่ามูลค่า และมีการเติบโต อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งมีผลการดำเนินงานย้อนหลังตั้งแต่เริ่มก่อตั้งกองทุน อยู่ที่ 137.34% (ข้อมูล ณ วันที่ 28 มิ.ย. 56)


          นอกจากนี้ยังมีกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาว เอ็มเอไอ (SCBLT3) ที่เน้นการลงทุนในหุ้นที่มี การเติบโตสูง ซึ่งจะสร้างผลตอบแทนที่ดีมากในช่วงเวลาที่ตลาดปรับตัวขึ้น แต่จะมีความผันผวนของราคาอยู่พอสมควรในช่วงของการทยอยสะสม โดยกองทุนดังกล่าวมีผลการดำเนินงานย้อนหลังตั้งแต่เริ่มก่อตั้งกองทุน อยู่ที่ 145% (ข้อมูล ณ วันที่ 28 มิ.ย. 56)


          พร้อมกันนี้ บลจ.ไทยพาณิชย์ยังได้มีการจ่ายเงินปันผลสำหรับกองทุนรวม LTF สำหรับผลการดำเนิน งานระหว่างวันที่ 1 ก.ค. 2555 - 25 มิ.ย. 2556 จำนวน 2 กองทุน คือกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาว ปันผล 70/30 (SCBLT1) ในอัตรา 0.1200 บาทต่อหน่วย และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาว ทาร์เก็ต (SCBLTT) ในอัตรา 0.1400 บาทต่อหน่วย โดยจ่ายให้ผู้ถือหน่วยไปแล้วเมื่อวันที่ 9 ก.ค. 2556 ที่ผ่านมาด้วย


>>แหล่งที่มา<<







ไทยพาณิชย์ชี้ศก.ไทยเสี่ยงชะลอครึ่งปีหลัง




ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจธนาคารไทยพาณิชย์ (EIC) รายงานว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีมติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.50% ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 10 กรกฎาคม 2013

          ทั้งนี้ กนง. มองว่าอัตราดอกเบี้ยในระดับปัจจุบันยังเหมาะสม โดย กนง. มองว่าการชะลอตัวของการใช้จ่ายในประเทศในช่วงที่ผ่านมาเป็นการกลับมาขยายตัวในระดับปกติ หลังจากที่เร่งตัวมากในช่วงก่อนหน้าจากแรงกระตุ้นภาครัฐ โดยปัจจัยสนับสนุนคือการจ้างงานและรายได้ของประชาชนที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี ประกอบกับนโยบายการเงินและการคลังที่ผ่อนคลาย จากสินเชื่อที่ยังขยายตัวสูงและมีการขาดดุลการคลังต่อเนื่อง

          อย่างไรก็ดี EIC มองว่าเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงชะลอตัวเพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลัง การชะลอตัวของการใช้จ่ายอุปโภคบริโภคในช่วงที่ผ่านมาส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการสิ้นสุดนโยบายกระตุ้นของภาครัฐ แต่อีกส่วนหนึ่งที่น่ากังวลและเป็นสัญญาณการชะลอตัวคือ การใช้จ่ายในสินค้าประเภทอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าไม่คงทน เช่น อาหารและเครื่องดื่ม ของใช้ในครัวเรือน ที่ชะลอตัวลงในไตรมาส 1 ประกอบกับการเติบโตของสินเชื่อเพื่อการบริโภคนอกเหนือจากการซื้อรถยนต์และที่อยู่อาศัยที่เริ่มชะลอตัวลงตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี

          นอกจากนี้ การลงทุนภาครัฐยังมีความเสี่ยงที่จะไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้เดิม อีกทั้งการส่งออกในปีนี้น่าจะชะลอตัวลงกว่าที่คาดไว้

          EIC ระบุว่า การดำเนินนโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลาย ซึ่งอาจรวมถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติม สามารถทำได้ในภาวะที่แรงกดดันด้านเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ ซึ่งจะช่วยรักษาแรงส่งจากการใช้จ่ายในประเทศไม่ให้ชะลอตัวมากเกินไป ในขณะที่การลงทุนภาครัฐประสบข้อจำกัดและเศรษฐกิจโลกยังคงเปราะบาง อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่กนง.ได้แสดงความกังวลทั้งในด้านความผันผวนในตลาดเงินและความเสี่ยงของเงินทุนไหลออก รวมไปถึงหนี้ภาคครัวเรือน อาจเป็นข้อจำกัดในการดำเนินนโยบายดังกล่าว


วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

SCB ชวนกันทำดี ปลูกป่า ณ สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ จ.อยุธยา





          คณะผู้บริหารและพนักงาน สำนักงานเขตพื้นที่ บางปะอิน (อยุธยา) ร่วมกันขยายผลโครงการ “SCB ชวนกันทำดี ปลูกป่า ณ สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์” ต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 2 โดยคณะพนักงานจิตอาสาธนาคารกว่า 120 คน ได้ลงมือปลูกต้นราชพฤกษ์ ต้นมะฮอกกะนี ต้นอินทนิลน้ำ จำนวนกว่า 300 ต้น ในบริเวณพื้นที่โดยรอบสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ จ.อยุธยา ซึ่งสำนักงานเขตฯ ได้ร่วมกับเทศบาลพระนครพระนครศรีอยุธยา ริเริ่มไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 แต่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ ทำให้ต้นไม้ที่ปลูกไว้ล้มตายเป็นจำนวนมาก จิตอาสาธนาคารจึงได้สานต่อโครงการอีกเป็นครั้งที่ 2 ในปีนี้ เพื่อช่วยกันฟื้นฟูสภาพสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีในชุมชน โดยเหล่าจิตอาสาได้ร่วมแรงร่วมใจกันในกิจกรรมทำดีที่ได้ประโยชน์ทั้งต่อตนเองและสังคมส่วนรวมอย่างเข้มแข็งและน่ายกย่อง


>>แหล่งที่มา<<

วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ธนาคารไทยพาณิชย์สนับสนุนการดำเนินงานด้านกิจการนักศึกษา ม. เชียงใหม่


          ธนาคารไทยพาณิชย์ มอบเงินสนับสนุนจำนวน 3 ล้านบาท ให้แก่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อร่วมสนับสนุนการดำเนินงานด้านกิจการนักศึกษาของมหาวิทยาลัย และส่งเสริมการเรียนรู้สำหรับเยาวชน โดยมี คุณบุญสร้าง นากดี (ที่ 4 จากขวา) ผู้จัดการเขตพื้นที่ ท่าแพ เป็นผู้แทนธนาคารในการส่งมอบ และรองศาสตราจารย์ นพ.นิเวศน์ นันทจิต (ที่ 4 จากซ้าย) อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นผู้รับมอบ ณ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่






>>แหล่งที่มา<<